บทความน่ารู้เรื่องสมุนไพร
ดูแลใส่ใจ“ตับ”ของคุณ ก่อนที่จะสายเกินไป!!!
“ตับ” ถือเป็นแม่ทัพสำคัญในร่างกายคนเรา เพราะเป็นอวัยวะที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงระบบต่างๆทั่วร่างกาย ดังนั้น ตับจึงถือว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญอย่างหนึ่งในร่างกาย เราจึงจำเป็นต้องใส่ใจ ดูแลตับเป็นพิเศษ หน้าที่และความสำคัญของตับ “เป็นแหล่งสะสมเสบียงสารอาหารไว้ใช้ยามจำเป็น”หนึ่งในหน้าที่ของตับคือการสะสมสารอาหารไว้ให้ร่างกายดึงออกมาใช้ในยามจำเป็น โดยตับจะสะสมทั้งไกลโคเจนที่แปลงมาจากน้ำตาลกลูโคส รวมไปถึงสะสมธาตุเหล็ก นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งที่สะสมของวิตามินเอ วิตามินดี วิตามินบีสิบสอง และทองแดง เป็นต้น “เปลี่ยนโครงสร้างสารอาหารต่าง ๆ ให้เป็นสารที่ร่างกายต้องการ” ตับมีหน้าที่ปรับเปลี่ยนโครงสร้างสารอาหารบางชนิด ให้อยู่ในรูปที่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ เช่น ตับจะเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคส ให้กลายเป็นสารอาหารชื่อว่า “ไกลโคเจน” มาสะสมไว้ที่ตับ และเมื่อใดก็ตามระดับน้ำตาลในเลือดของเราต่ำลง ตับจะแปลงไกลโคเจนให้กลับไปอยู่ในรูปของกลูโคส เพื่อนำไปใช้หล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่าง ๆ อีกครั้ง หน้าที่ของตับ “สร้างอาวุธอย่างน้ำดี เพื่อช่วยเหลือลำไส้ในการย่อยไขมัน”หน้าที่ของตับคือ การสร้างน้ำดีและเกลือน้ำดี ไปตามท่อน้ำดี โดยมีจุดหมายปลายทางคือ ลำไส้เล็ก และจะทำหน้าที่ในการช่วยย่อยสลายสารอาหารประเภทไขมันที่ลำไส้เล็ก ซึ่งในขณะเดียวกันตับก็ใช้ท่อน้ำดีเป็นช่องทางจำกัดของเสียและสิ่งมีพิษที่ตับเก็บไว้ ให้ออกไปพร้อมน้ำดี ตามทางเดินอาหารพร้อมกับกากอาหารต่าง ๆ นั่นเอง
กำจัดไส้ศึกที่เข้ามาในร่างกายอย่างสารพิษ การกำจัดสารพิษและของเสียต่าง ๆ ในร่างกายโดยจะกำจัดสารพิษที่ลำไส้ดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด และเมื่อสารพิษเหล่านั้นเดินทางผ่านมายังตับ ตับก็จะทำลายทิ้งทันที หรือหากทำลายไม่ได้ก็จะส่งสารพิษนั้นออกไปทางระบบขับถ่ายของเรา ซึ่งสารพิษที่เป็นอัตราย ได้แก่ แอมโมเนีย แอลกอฮอล์ คาร์บอนเตตราคลอไรด์ และคลอโรฟอร์ม เป็นต้น เพราะฉะนั้นการดูแลตับจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ โดยสามารถทำได้ทั้งการปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม หรืออาจจะหา อาหารเสริมบำรุงตับ และ สมุนไพรบำรุงตับเข้ามาเพื่อช่วยฟื้นฟูและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับได้อีกด้วย รู้หรือไม่ว่า “มะเร็งตับ” เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในเพศชายและอันดับ 3 ในเพศหญิง
มะเร็งตับ (Liver Cancer) เกิดขึ้นเมื่อเซลล์บริเวณตับมีลักษณะหรือการทำงานผิดปกติแล้วพัฒนาเป็นมะเร็งในที่สุด หรืออาจเกิดจากการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งจากบริเวณอื่นมายังตับก็ได้
สาเหตุโรคมะเร็งตับ
- ผู้ป่วยเป็นโรคชนิดอื่นที่สามารถพัฒนาไปเป็นมะเร็งตับ ได้แก่
- โรคตับอักเสบเรื้อรัง, ตับแข็ง, เบาหวาน, โรคอ้วน และไขมันพอกตับ
- การรับสารอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxins)จากอาหาร ซึ่งเป็นสารปนเปื้อนจากเชื้อรา
- การบริโภคแอลกอฮอล์มากเกินควร
- การสูบบุหรี่
- การได้รับสารเคมีอันตรายจากยากำจัดวัชพืช
การป้องกันโรคมะเร็งตับ
การป้องกันมะเร็งตับด้วยตนเองสามารถทำได้โดยการลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งตับ โรคตับแข็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับมะเร็งตับอย่างมาก เนื่องจากจะทำให้เกิดแผลในตับจึงเสี่ยงต่อการพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งที่ตับได้สูง
การป้องกันมะเร็งตับจึงควรลดปัจจัยต่าง ๆ โดย
1.การดื่มแอลกอฮอล์ให้พอดี
2.หมั่นออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากเกินไป
3.รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดการบริโภคไขมัน
4.ระมัดระวังการใช้สารเคมีที่อาจเป็นอันตรายและเสี่ยงต่อโรคตับแข็ง
5.ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี (ส่วนไวรัสตับอักเสบซี ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ)
6.หลีกเลี่ยงการติดต่อเชื้อทั้ง 2 ชนิดจากผู้อื่นยังทำได้ด้วยการสร้างสุขอนามัยที่ดี เช่น ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่เสี่ยงติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น รวมถึงเข็มที่ใช้สักลายตามร่างกาย
นอกจากการป้องกันแล้ว การบำรุงดูแลตับก็สำคัญ หากคุณมองหา ตัวช่วยดีๆ เช่น ”สมุนไพรดูแลตับ”อยู่ล่ะก็ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “ชินนะ สูตร 2” มีสมุนไพรที่ช่วยบำรุงดูแลตับ ลดน้ำตาลในเลือด อาทิเช่น อาร์ติโช้ค, ขิง และขมิ้นชัน รวมทั้งสมุนไพรมีประโยชน์อีกมากมาย
“อนุมูลอิสระ” สำคัญต่อร่างกายอย่างไร
“อนุมูลอิสระ” เกิดจากกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกาย ภาวะความเครียดทางกายและใจ การสูบบุหรี่ รังสี UV รวมถึงจากมลพิษต่างๆ จากสภาพแวดล้อมรอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็น เช่น ฝุ่น ควันบุหรี่ ควันรถยนต์ โอโซน โลหะหนัก
ซึ่งอนุมูลอิสระเหล่านี้ จะเข้ามาทำลายโครงสร้าง และหน้าที่ของผนังเซลล์ ก่อเกิดความผิดปกติ เซลล์ถูกทำลายและเสื่อมได้เร็ว เกิดเป็นโรคชรา หรือแก่ก่อนวัย เกิดโรคภัยต่างๆได้ง่ายขึ้น อาทิ โรคหลอดเลือด และ หัวใจขาดเลือด รวมถึงโรคที่เกิดจากความเสื่อมของระบบต่างๆ ในร่างกาย อีกทั้งยังสามารถ เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ที่ ที่พัฒนาไปสู่เซลล์มะเร็งได้
และเราจะป้องกันอย่างไรให้ร่างกายต่อต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้สารที่จะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) คืออะไร
สารต้านอนุมูลอิสระคือสารที่สามารถยับยั้งหรือชะลอการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (oxidation) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดอนุมูลอิสระ (free radical) กลไกกำจัดสารอนุมูลอิสระมี 2 วิธี คือ
1. การใช้เอนไซม์ที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อจับกับอนุมูลอิสระ เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น การสร้างสารต้านอนุมูลอิสระจะลดลง ผลที่ตามมาคือ ทำให้เกิดโรคต่างๆมากมาย
2. การได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจากอาหาร เช่นวิตามิน อี เบ้ตาแคโรทีน แอนโทไซยานิดิน สารประกอบโฟลีฟีนอลต่างๆ นอกจากนี้ยังรวมถึงโคเอนไซม์คิวเท็น เป็นต้น แต่หากเมื่อไรก็ตามที่ร่างกายของเรานั้นมีอนุมูลอิสระมากจนเกินกว่าความสามารถของสารต้านอนุมูลอิสระจัดการได้ เมื่อนั้นอนุมูลอิสระตัวร้ายก็จะเริ่มก่อกวนทำลายเซลล์ต่างๆในร่างกายอย่างช้าๆโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว มีชื่อเรียกภาวะนี้ว่า “Oxidative Stress” และสิ่งที่จะตามมาก็คือโรคที่เกิดจากความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ได้แก่ โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง สมองเสื่อม ต้อกระจก โรคอ้วนหรือแม้กระทั่งโรคมะเร็ง เป็นต้น